วิวัฒนาการ กฎหมายธุรกิจแฟรนไชส์ไทยในอนาคต

ความเป็นมาธุรกิจแฟรนไชส์

ธุรกิจแฟรนไชส์(Franchise Business) มีต้นกำเนิดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ.1850 บริษัทซิงเกอร์ ได้วางระบบร้านค้าปลีกแก่ลูกข่ายด้วยระบบพนักงาน และการเป็นตัวแทนจำหน่าย โดยมีค่าใช้จ่ายเพียงค่าสิทธิ์ในการเป็นผู้จัดจำหน่าย ในระดับภูมิภาค แม้จะจัดให้มีการอบรมและการมอบรูปแบบการพัฒนาการจัดการร้านก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่เสมือนเป็นแฟรนไชซอร์ ซิงเกอร์เลยทีเดียว ยุค ค.ศ.1950 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จุดต่อของรูปแบบแฟรนไชส์อย่างเต็มรูปแบบ Format Franchising โดยแบรนด์สินค้าแรกคือ A&W และเทสตี้ ฟรีซ (Tastee Freeze) จนก้าวสู่แฟรนไชส์ระดับชาติส่วนใหญ่จัดอยู่ในหมวดธุรกิจอาหารฟาสท์ฟู๊ด  และหนึ่งในร้านระดับตำนานคือ แมคโดนัลด์ ปลายทศวรรษที่ 1980 ธุรกิจแฟรนไชส์ได้รับความนิยมในกลุ่มธุรกิจที่แตกต่างไปจากเดิม ประกอบด้วย ธุรกิจค้าปลีก บริการ อาหารและเครื่องดื่ม ความงามและสปา และการศึกษาและเริ่มขยายตัวอย่างสูงเข้าสู่มหานครใหญ่ๆทั่วโลก

ประเทศไทยได้รับรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 และที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ได้แก่ 7-11 ได้รับความนิยมและขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว ธุรกิจต่างประเทศต่างตบเท้าเข้าไทยรวมถึงการพัฒนาของแฟรนไชส์สัญชาติไทยให้นักลงทุนได้เลือกซื้อสิทธิ์   จนกระทั่งประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ(2540) การเติบโตของแฟรนไชส์จึงหดตัวอย่างรุนแรง

หลังวิกฤตเศรษฐกิจภาครัฐได้เลือกผลักดันธุรกิจแฟรนไชส์ให้กลับมาคึกคักอักครั้ง โดยใช้เป็นเครื่องมือสร้างหน่วยธุรกิจให้เกิดกลไกสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและช่วยให้ธุรกิจพัฒนาและขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

กฏหมายแฟรนไชส์

1.ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ พ.ศ. ….

การประกอบธุรกิจการค้าและบริการโดยการนำธุรกิจที่ตนเองประกอบอยู่หรือธุรกิจของต่างประเทศมาให้สิทธิในการประกอบธุรกิจนั้นแก่บุคคลอื่นที่เรียกว่า “ธุรกิจแฟรนไชส์”เป็นประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทย จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อให้มีการขยายการประกอบธุรกิจในลักษณะนี้เพิ่มมากขึ้น การที่ปัจจุบันยังไม่มี   บทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้บังคับและให้ความคุ้มครองในการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ได้อย่างเพียงพอ จึงได้มีการตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้นเพื่อคุ้มครองและให้ความเป็นธรรมในการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ 

ก่อนหน้านี้(2554) กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลองค์กรธุรกิจในประเทศได้ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ พ.ศ. …. เพื่อจัดระเบียบการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทย แต่หลังจากนั้นก็ดูเงียบๆไป

ต่อมาคณะสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้มีการยกร่างพระราชบัญญัติฯขึ้นมาใหม่โดย รับฟังความคิดเห็นของผู้รู้ และผู้เกี่ยวข้องฝ่ายต่างๆ ก่อนที่จะเสนอเข้าสภา   แต่เมื่อต้นปี(มกราคม 2560)ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้ส่งกลับร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ ฉบับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)หลังคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พิจารณาให้ความเห็นว่า ซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น เกรงว่าจะเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

***ติดตามรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติในกฏหมายแฟรนไชส์ (2)

2.กฎหมายเกี่ยวเนื่องแฟรนไชส์ในปัจจุบัน

2.1 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยนิติกรรมสัญญามาใช้ในส่วนที่เกี่ยวกับการเกิดสัญญา การแสดงเจตนาของคู่สัญญา การตีความสัญญา ผลของสัญญา การบอกเลิกสัญญา การผิดสัญญาและการวิเคราะห์สัญญาในการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์นั้น แต่เป็นการนำมาใช้ในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นแล้วจัดว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

     ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยละเมิดสามารถนำมาปรับใช้บังคับกับแฟรนไชส์ซอร์ กรณีที่มีการละเมิดเกิดขึ้นโดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ทั้งจงใจหรือประมาทเลินเล่อ กระทำต่อบุคคลภายนอก จนได้รับความเสียหายแก่ชีวิตร่างกาย เสรี ภาพ หรือทรัพย์สิน หรือสิทธิ อย่างหนึ่งอย่างใด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 อันเนื่องมาจากการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ 

2.2 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522  ลูกค้าหรือผู้บริโภคจะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการโฆษณาสินค้าที่อาจเกินจริง การปิดฉลากสินค้า หรือการกำหนดให้ธุรกิจใดเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา เป็นต้น

2.3 พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540  เพื่อให้คู่สัญญาสองฝ่ายจะมีฐานะเท่าเทียมกันเนื่องจากแฟรนไชส์ซีมักมีอำนาจในการเจรจาต่อรองน้อยกว่าแฟรนไชส์ซอร์คือ แฟรนไชส์ซอร์เป็นคู่สัญญาฝ่ายที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจเหนือกว่า จึงเป็นผู้กำหนดเนื้อหาสาระของสัญญาหรือข้อสัญญาที่เป็นสาระสำคัญไว้เป็นการล่วงหน้า โดยที่แฟรนไชส์ซีซึ่งเป็นผู้ที่จะเข้ามาทำสัญญาสามารถแสดงเจตนาเข้าทำสัญญาโดยไม่ต้องมีการเจรจาต่อรอง

ดังนั้น หากดังกล่าวแฟรนไชส์ซอร์ได้เปรียบแฟรนไชส์ซีเกินสมควร ข้อสัญญาดังกล่าวถือเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ในกรณีเช่นนี้กฎหมายกำหนดให้สัญญามีผลใช้บังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีเท่านั้น

2.4 พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542  ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติดังกล่าวทั้งแฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซีจะถูกควบคุมมิให้มีการใช้วิธีการที่กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าถือว่าเป็นการผูกขาด หรือการกระทำที่เป็นการใช้อำนาจเหนือตลาด เว้นแต่มีความจำเป็นและมีเหตุผลสมควรโดยจะต้องขออนุญาตต่อคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าเสียก่อน

2.5 พระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545  การประกอบธุรกิจแฟรนไชส์เกี่ยวข้องความลับทางการค้าเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ในแง่ที่ว่า ข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ในการประกอบธุรกิจ เช่น สูตรอาหารหรือเครื่องดื่ม คู่มือการปฏิบัติงาน ตลอดจนรายชื่อลูกค้า ฯลฯนับได้ว่าเป็นความลับทางการค้าที่แฟรนไชส์ซอร์จำเป็นต้องได้รับความคุ้มครอง ซึ่งแฟรนไชส์ซีต้องไม่เปิดเผยข้อมูลหรือนำข้อมูลซึ่งเป็นความลับนั้นไปใช้ในลักษณะที่เป็นการแข่งขันกับแฟรนไชส์ซอร์ หากมีการละเมิดสิทธิในเรื่องดังกล่าว แฟรนไชส์ซอร์สามารถฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนและขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการกระทำเช่นว่านั้น

2.6 กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และเครื่องหมายทางการค้า แฟรนไชส์ซอร์ที่ประสงค์จะให้แฟรนไชส์ซีสามารถใช้สิทธิในเครื่องการการค้าหรือบริการ หรือ สิทธิบัตรของตน ต้องมีการจดทะเบียนสัญญา การให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าหรือบริการ และสิทธิบัตรนั้น ซึ่งจะต่างจากสัญญาแฟรนไชส์ คือ แฟรนไชส์ซีต้องจ่ายค่าตอบแทนในการใช้สิทธิและเข้าร่วมประกอบธุรกิจ ส่วนสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญานั้นผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิอาจไม่จำต้องจ่ายค่าตอบแทนก็ได้ขึ้นอยู่กับการตกลงกันของคู่สัญญา

2.7 กฎหมายเฉพาะธุรกิจโดยตรง   นอกจากจะต้องพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้างต้นแล้ว การขายสินค้าและการให้บริการในธุรกิจแฟรนไชส์จำเป็นต้องพิจารณาถึงกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกิจนั้นโดยตรง อาทิ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารการกินจะอยู่ภายใต้การกำกับของพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเครื่องสำอางจะอยู่ภายใต้การกำกับของพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2535 เป็นต้น ผู้ประกอบกาควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับมาตรฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการคุ้มครองต่อผู้บริโภคนั่นเอง

เนื่องจากประเทศไทยยังต้องรอพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ พ.ศ. …. ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์โดยเฉพาะ ดังนั้น กรณีเกิดข้อพิพาทระหว่างแฟรนไชส์ซอร์กับแฟรนไชส์ซี จึงต้องพิจารณาสิทธิและหน้าที่ในทางกฎหมายของคู่สัญญา จากบทบัญญัติของกฎหมายที่มีอยู่ข้างต้นควบคู่กันหลายฉบับอย่างรอบคอบเนื่องจากแต่ละบทยังมีข้อจำกัดเป็นช่องโหว่ทางกฎหมายปรากฏ และคอยติดตามความคืบหน้าของกฏหมายแฟรนไชส์ฉบับแรกของประเทศไทย ซึ่งเว็ปไซด์ frachisepremium.com จะนำเสนอในโอกาสต่อไป

#franchisepremium

ติดต่อสอบถาม

เว็บไซต์

สนใจพูดคุยกับทีมผู้เชี่ยวชาญด้านแฟรนไชส์